วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

6.สมมติฐาน (Hypothesis)

 6.สมมติฐาน (Hypothesis)


             http://www.stks.or.th/blog/?p=2385   ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  คำว่าสมมติฐานที่นำมาใช้ในการวิจัยนั้น หมายถึง ความคาดหวังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้จากการสรุปเป็นการทั่วไป ที่หวังว่าตัวแปร ตัวหรือหลายตัวจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง
สมมติฐานที่ดีจะต้องประกอบด้วยเกณฑ์สองอย่าง คือ
ประการแรก สมมติฐานต้องเป็นข้อความแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ประการที่สอง สมมติฐานจะต้องชัดเจน และสามารถทดสอบความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ หากข้อความขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็จะไม่ใช่สมมติฐาน
สมมติฐานจัดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากอย่างหนึ่งในการวิจัยเพราะเป็นแหล่งเชื่อมโยงระหว่างปัญหากับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่จะตอบปัญหา สมมติฐานยังเป็นเสมือนแนวทางในการสำรวจปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหาที่กำลังทำการสืบค้นอยู่นั้น ความสำคัญของสมมติฐานพอจะประมวลได้เป็นข้อๆ ดังนี้
2.1 การชี้ให้เห็นปัญหาชัดเจน ถ้าไม่มีสมมติฐานเป็นเครื่องชี้นำ ผู้วิจัยอาจเสียเวลาในการหาสาเหตุและการแก้ปัญหาโดยเป็นการกระทำที่ผิวเผิน แต่การตั้งสมมติฐานนั้น ผู้วิจัยจะต้องได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนถึงข้อเท็จจริงและมโนทัศน์ที่คาดว่าจะสัมพันธ์กับปัญหา แล้วแยกแยะให้เห็นข้อสนเทศที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องในเชิงความสัมพันธ์ ทั้งนี้ในกระบวนการสร้างสมมติฐาน การนิรนัยผลที่ตามมา และการนิยามคำที่ใช้นั้นจะช่วยทำให้เห็นประเด็นของปัญหาที่ทำการวิจัยชัอเจนชึ้น
2.2 สมมติฐานช่วยกำหนดความเกี่ยวข้องระหว่างข้อเท็จจริง ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ได้รับการเลือกเฟ้นอย่างรอบคอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสืบค้นความจริง การรวบรวมข้อมูลจำนวนมากโดยปราศจากจุดหมายนั้น เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์เพราะข้อมูลเหล่านั้น ที่มิได้เลือกเฟ้นจะให้เหตุผลที่เป็นไปได้หลายหลากแตกต่างกัน จนไม่สามารถจะสรุปเป็นข้อยุติที่ชัดเจนได้ ข้อเท็จจริงที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหานั้นจะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้ามีสมมติฐานแล้ว จะทำให้ผู้วิจัยแน่ใจว่าควรรวบรวมข้อเท็จจริงอะไรมากน้อยแค่ไหนจึงจะเพียงพอที่จะทดสอบผลที่ตามมาได้ครบถ้วน สมมติฐานจึงช่วยในการกำหนดและรวบรวมสิ่งที่ต้องการเพื่อแก้ปัญหาวิจัยนั้น
2.3 สมมติฐานเป็นตัวชี้การออกแบบการวิจัย สมมติฐานไม่ใช่เพียงแต่ชี้แนวทางว่าควรพิจารณาข้อสนเทศใดแต่จะช่วยบอกวิธีที่จะรวบรวมข้อมูลด้วย สมมติฐานที่สร้างอย่างดีจะเสนอแนะว่ารูปแบบการวิจัยควรจะเป็นเช่นไรจึงจะเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะที่ต้องการทราบ สมมติฐานจะบอกแนวทางถึงกลุ่มตัวอย่างแบบสอบหรือเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ จะมีวิธีการอย่างไร วิธีการสถิติที่เหมาะสมคืออะไรตลอดจนจะรวบรวมข้อเท็จจริงในสถานการณ์ใดที่เหมาะสมกับปัญหา
2.4 สมมติฐานช่วยอธิบายปรากฏการณ์ การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่เป็นเพียงการรวบรวมข้อเท็จจริงและจัดพวกตามคุณสมบัติผิวเผินของข้อเท็จจริงเหล่านั้น เช่นไม่ใช่เพียงแต่จัดตารางบอกลักษณะของพฤติกรรมก้าวร้าว หรือเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยุวอาชญากรรมเท่านั้น แต่นักวิจัยจะต้องกำหนดว่าองค์ประกอบใดก่อให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น โดยอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ที่น่าจะเป็นสาเหตุและผลอย่างเหมาะสม สมมติฐานที่สร้างขึ้นจากข้อเท็จจริงจะช่วยให้ผู้วิจัยมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสำรวจและอธิบายสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังได้
2.5 สมมติฐานช่วยกำหนดขอบเขตของข้อยุติ ถ้าหากผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานในเชิงนิรนัยไว้ ก็เท่ากับได้วางขอบเขตในข้อยุติไว้แล้ว ผู้วิจัยอาจระบุเหตุผลว่าถ้า H1 จริงแล้วข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นจากการทดสอบกับข้อมูลจริง ข้อเท็จจริงนั้นเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ดังนั้นข้อยุติก็จะเป็นว่า ได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยัน สมมติฐานจึงให้ขอบเขตในการตความขัอค้นพบอย่างเฉียบขาดและมีความหมายกระชับ ถ้าไม่มีสมมติฐานที่เป็นการทำนายล่วงหน้าข้อเท็จจริงก็ไม่มีโอกาศที่จะได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยันแต่อย่างใด



         http://edurmu.org/cai/_surawart/elearning/content/lesson5/501.html   ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่าสมมติฐาน หมายถึง ข้อความที่คาดคะเนความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปหรือข้อความที่ผู้วิจัยตั้งไว้เพื่อคาดคะเนหรือ ทำนายถึงผลของการวิจัยชนิดของสมมุติฐาน
     สมมติฐานทางวิจัย (Research Hypothesis) คือ สมมติฐานที่เขียนในลักษณะของข้อความ
     สมมติฐานทางสถิติ(Statistical Hypothesis) คือ สมมติฐานที่เขียนบรรยายในรูปของ สัญลักษณ์ เชิงสถิติ โดยสัญลักษณ์ที่ใช้จะใช้แทน ค่าพารามิเตอร์ (Parameter)ชนิดของสมมติฐานทางวิจัยแบ่งตามทิศทาง
     สมมุติฐานแบบมีทิศทาง (Directional Hypothesis) คือ สมมุติฐานที่ระบุได้แน่นอนถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรว่า สัมพันธ์ในทางใด     สมมุติฐานแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional Hypothesis) คือ
     สมมุติฐานที่ระบุไม่ได้แน่นอนถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร ว่าสัมพันธ์ในทางใดตัวอย่างสมมุติฐานทางวิจัย
     สมมติฐานแบบมีทิศทาง 
     1. ความคิดสร้างสรรค์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความ สัมพันธ์กันทางบวก
     2. การสูบบุหรี่กับการเป็นมะเร็งมีความสัมพันธ์กันทางลบ
     3. เด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมีวินัยในตนเอง
มากกว่าเด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย
     สมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง 
     1. ความคิดสร้างสรรค์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความ สัมพันธ์กัน
     2. การสูบบุหรี่กับการเป็นมะเร็งมีความสัมพันธ์กัน
     3. เด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเข้มงวดกับเด็กที่ได้รับ การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย มีวินัยในตนเอง แตกต่างกัน
สมมติฐานทางสถิติ
     1. สมมติฐานเป็นกลาง (Null Hypothesis) คือ ใช้เขียนแทนสมมติฐานทางวิจัยแบบไม่มีทิศทาง แทนด้วยสัญลักษณ์ H0
     2. สมมติฐานไม่เป็นกลาง (Alternative Hypotesis) คือ ใช้เขียนแทนสมมติฐานทางวิจัยที่มีลักษณะตรงข้ามกับ สมมติฐานเป็นกลาง แทนด้วยสัญลักษณ์ H1





          http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm  ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า สมมติฐาน หมายถึง ข้อสมมติฐานที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผลในการทดลองหรือการวิจัย เป็นข้อความที่แสดงถึงการคาดการถึงผลการวิจัยที่จะได้รับและสามารถทดสอบได้ นอกจากนี้อาจหมายถึงการคาดการณ์หรือการอธิบาย ปรากฏการณ์ระหว่างตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร
ประโยชน์ของสมมติฐาน
1. ช่วยชี้แนะให้ผู้วิจัยพิจารณาชนิดของตัวแปรที่สำคัญ ข้อมูลที่จะเก็บ ชนิดของเครื่องมือที่เหมาะสม และวิธีการเก็บข้อมูล
2. ช่วยเป็นกรอบของการดำเนินการวิจัยให้เฉพาะเจาะจงมากกว่าวัตถุประสงค์ ในแง่ของการพิจารณารูปแบบการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
3. สามารถสร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นได้ รวมทั้งเป็นการทดสอบทฤษฎีเก่าด้วย

ชนิดของสมมติฐาน
สมมติฐานแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
1. สมมติฐานทางวิจัย เป็นข้อความที่เขียนคาดการณ์ อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป
2. สมมติฐานทางสถิติ เป็นข้อความสั้นๆ ที่เขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางสถิติแทนข้อความที่เขียนเต็มในสมมติฐานทางวิจัย


รูปแบบของสมมติฐานทางวิจัย
1 สมมติฐานเชิงพรรณนา (Descriptive Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นสำหรับงานวิจัยที่ต้องการหาข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือเหตุการณ์บางอย่างโดยไม่มีการพิสูจน์ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใดๆ
2 สมมติฐานเชิงวิเคราะห์ (Analysis Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่แสดงความสัมพันธ์หรือ เปรียบเทียบระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป สมมติฐานชนิดนี้จะมีการนำเอาวิธีการทางสถิติมาทดสอบด้วยเสมอ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
  2.1 แบบเปรียบเทียบ เป็นสมมติฐานที่แสดงการเปรียบเทียบตัวแปรในลักษณะของคำว่า แตกต่าง ไม่แตกต่าง ดีกว่า น้อยกว่า รุนแรงกว่า เร็วกว่า สูงกว่า ต่ำกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า เป็นต้น และสมมติฐานนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

แบบเปรียบเทียบไม่ระบุทิศทาง เช่น
- อัตราการตายของทารกเพศชาย แตกต่างจากอัตราการตายของทารกเพศหญิง
- อัตราป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในเขตที่มีโครงการจัดหาน้ำสะอาด และเขตที่ไม่มีโครงการจัดหาน้ำสะอาด มีความแตกต่างกัน
แบบเปรียบเทียบระบุทิศทาง เช่น
- หญิงตั้งครรภ์ในเขตเมืองมีความรู้ในการป้องกันภาวะโลหิตจางสูงกว่าเขตนอกเมือง
- กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ที่เลี้ยงด้วยนมมารดา จะป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันต่ำกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยนมมารดา

2.2 แบบแสดงความสัมพันธ์ เป็นสมมติฐานที่แสดงลักษณะความสัมพันธ์ ระหว่าง
ตัวแปร และอาจจะระบุลึกลงไปในแง่ของความเป็นเหตุ เป็นผล ก็ได้ สมมติฐานชนิดนี้สามารถแยกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้
แบบแสดงความสัมพันธ์ไม่ระบุทิศทาง เช่น
- แบบแผนการให้อาหารทารกมีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการของทารก
- การขาดความอบอุ่นจากบิดามารดา มีความสัมพันธ์กับการติดยาเสพติดครั้งแรก
แบบแสดงความสัมพันธ์ระบุทิศทาง
- น้ำหนักแรกเกิดของทารกมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับภาวะโภชนาการของมารดา
- อัตราการใช้วิธีการคุมกำเนิดสูง ทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำ

II สมมติฐานทางสถิติ
สมมติฐานทางสถิติเป็นสมมติฐานที่เขียนขึ้น เพื่อใช้ทดสอบทางสถิติ เขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางสถิติประกอบด้วย
1. สมมติฐานศูนย์ (null hypothesis : Ho) คือสมมติฐานทางสถิติที่กำหนดให้ไม่มีความแตกต่าง หรือไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา เช่น
สมมติฐานการวิจัยผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อยมีคะแนนความเครียด ไม่แตกต่าง กับ
ผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สมมติฐานสถิติ กำหนดให้ Ho คือ สมมติฐานศูนย์
กำหนดให้ U1 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อย

กำหนดให้ U2 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สามารถเขียนสมมติฐานทางสถิติได้ดังนี้ Ho : U1 = U2
2. สมมติฐานเลือก (alternative hypothesis : H1 หรือ Ha) คือสมมติฐานทางสถิติที่มีความแตกต่างหรือมีความสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรที่ศึกษา โดยทั่วไปเราจะตั้งสมมติฐานศูนย์ไว้ทดสอบทางสถิติ โดยคาดหวังว่าเมื่อทดสอบสมมติฐานแล้ว ผลที่ได้จะปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ และยอมรับสมมติฐานเลือก ซึ่งเป็นการสนับสนุนสมมติฐานทางการวิจัย เช่น

สมมติฐานการวิจัยผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อยมีคะแนนความเครียดไม่แตกต่างกับ ผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สมมติฐานสถิติ กำหนดให้ H1 คือ สมมติฐานเลือก
กำหนดให้ U1 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อย
กำหนดให้ U2 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สามารถเขียนสมมติฐานทางสถิติได้ดังนี้ H1 : U1 < U2

หลักการเขียนสมติฐานการวิจัย
1. ควรประกอบไปด้วยตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว เช่น ให้ X เป็นตัวแปรอิสระ และให้ Y เป็นตัวแปรตาม
2. ควรระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรซึ่งกันและกันไว้อย่างชัดเจน เช่น X มีความสัมพันธ์กับ Y และระบุทิศทางของความสัมพันธ์ถ้าสามารถระบุได้
3. สามารถทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ด้วยวิธีการทางสถิติ
4. ภาษาที่ต้องใช้ต้องเฉพาะเจาะจง เข้าใจง่าย อ่านแล้วมีความหมายชัดเจน

ข้อเสนอแนะในการเขียนสมมติฐาน
1. ควรเขียนสมมติฐาน หลังจากทบทวนวรรณคดีที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดแล้ว การทดสอบสมมติฐานโดยไม่ทบทวนวรรณคดีให้เพียงพอจะทำให้การตั้งสมมติฐานผิดพลาด
2. สมมติฐานต้องเขียนเป็นประโยคบอกเล่าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น และตัวแปรตาม พร้อมทั้งระบุทิศทางของความสัมพันธ์ หรือทิศทางของความแตกต่างในลักษณะเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจน ยกเว้นการวิจัยบางเรื่องที่ไม่สามารถระบุทิศทางความสัมพันธ์หรือทิศทางความแตกต่างได้
3. ประโยคของสมมติฐานแต่ละข้อควรเป็นประโยคสั้นๆ ใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่กำกวน ส่วน คำศัพท์เกี่ยวกับตัวแปรต้องระบุความหมายให้ชัดเจน
4. สมมติฐานต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและอยู่ในกรอบของปัญหาการวิจัยเท่านั้น อย่าตั้งสมมติฐานที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือออกนอกกรอบปัญหาการวิจัย
5. ในปัญหาการวิจัยเรื่องหนึ่ง อาจเขียนสมมติฐานได้หลายข้อ แต่ละข้อให้เขียนประเด็นใดประเด็นหนึ่งของปัญหาวิจัยเท่านั้น ไม่ควรเขียนปัญหาการวิจัยในหลายประเด็นเข้าไว้ในสมมติฐานข้อเดียวกัน
6. สมมติฐานที่ตั้งขึ้น ควรเรียงลำดับข้อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในการทำวิจัย

        สมมติฐานที่ตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป อาจจะผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูล
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การตั้งสมมติฐาน ต้องยึดเหตุผลทางตรรกะวิทยาให้มากที่สุด และสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ถ้าสามารถระบุทิศทางในแง่ของการเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว จะช่วยชี้แนวทางการเลือกสถิติทดสอบแบบ ทางเดียว หรือแบบสองทางได้ด้วย นอกจากนี้การวิจัยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องตั้ง สมมติฐานก็ได้เช่น การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการวิจัยเชิงพรรณนา





         สรุป         สมมติฐาน หมายถึง ข้อสมมติฐานที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผลในการทดลองหรือการวิจัย เป็นข้อความที่แสดงถึงการคาดการถึงผลการวิจัยที่จะได้รับและสามารถทดสอบได้ นอกจากนี้อาจหมายถึงการคาดการณ์หรือการอธิบาย ปรากฏการณ์ระหว่างตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร
หลักการเขียนสมติฐานการวิจัย
1. ควรประกอบไปด้วยตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว เช่น ให้ X เป็นตัวแปรอิสระ และให้ Y เป็นตัวแปรตาม
2. ควรระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรซึ่งกันและกันไว้อย่างชัดเจน เช่น X มีความสัมพันธ์กับ Y และระบุทิศทางของความสัมพันธ์ถ้าสามารถระบุได้
3. สามารถทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ด้วยวิธีการทางสถิติ
4. ภาษาที่ต้องใช้ต้องเฉพาะเจาะจง เข้าใจง่าย อ่านแล้วมีความหมายชัดเจน

 

อ้างอิง
                   http://www.stks.or.th/blog/?p=2385  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2555
                         http://edurmu.org/cai/_surawart/elearning/content/lesson5/501.html  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่  5 ธันวาคม 2555
                   http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2555

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

5.วัตถุประสงค์ของการวิจัย (objectives)


5.วัตถุประสงค์ของการวิจัย (objectives)

        http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 ได้รวบรวมแล้วกล่าวไว้ว่า เป็นการกำหนดว่าต้องการศึกษาในประเด็นใดบ้าง ในเรื่องที่จะทำวิจัย ต้องชัดเจน และเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ โดยบ่งชี้ถึง สิ่งที่จะทำ ทั้งขอบเขต และคำตอบที่คาดว่าจะได้รับ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว การตั้งวัตถุประสงค์ ต้องให้สมเหตุสมผล กับทรัพยากรที่เสนอขอ และเวลาที่จะใช้ จำแนกได้เป็น 2ชนิด คือ

        3.1    วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objective)กล่าวถึงสิ่งที่ คาดหวัง (implication) หรือสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนี้ เป็นการแสดงรายละเอียด เกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย ในระดับกว้าง จึงควรครอบคลุมงานวิจัยที่จะทำทั้งหมด
       ตัวอย่างเช่น
                  เพื่อศึกษาถึงปฏิสัมพันธ์ และความต้องการของผู้ติดเชื้อเอดส์ ครอบครัว และชุมชน
        3.2    วัตถุประสงค์เฉพาะ (Specific Objective) จะพรรณนาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ในงานวิจัยนี้ โดยอธิบายรายละเอียดว่า จะทำอะไร โดยใคร ทำมากน้อยเพียงใด ที่ไหน เมื่อไร และเพื่ออะไร โดยการเรียงหัวข้อ ควรเรียงตามลำดับความสำคัญ ก่อน หลัง ตัวอย่างเช่น
                  3.2.1    เพื่อศึกษาถึงรูปแบบปฏิสัมพันธ์และการปรับตัวของผู้ติดเชื้อเอดส์ ครอบครัว และชุมชน
                  3.2.2    เพื่อศึกษาถึงปัญหาและความต้องการของผู้ติดเชื้อเอดส์ ครอบครัว และชุมชน
                

        http://www.gotoknow.org/posts/399434 การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัย(Research Objectives)
        เมื่อกำหนดคำถามวิจัยได้แล้ว ผู้วิจัยจึงตั้งวัตถุประสงค์ของการวิจัย วันนี้จึงรวบรวมหลักการ วิธีการ เขียนวัตถุประสงค์การวิจัย และข้อควรระวัง มาเสนอไว้ดังนี้ค่ะ
        วัตถุประสงค์ของการวิจัย(Research Objectives) หรือบางท่าน สถาบันกำหนดรุปแบบโดยใช้คำว่า จุดมุ่งหมายการวิจัย (Research purposes) ในการเขียนรายงานวิทยานิพนธ์
        สิทธิ์  ธีรสรณ์ (2552, หน้า 60) กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการวิจัย(Research Objectives) หรือ จุดมุ่งหมายการวิจัย (Research purposes) เป็นการระบุกิจกรรมหรืองานที่ผู้วิจัยต้องทำ ในอันที่จะได้มาซึ่งคำตอบในการวิจัย
       สิน พันธุ์พินิจ(2553, หน้า 74) กล่าวถึงการกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย ไว้ว่า วัตถุประสงค์การวิจัยเป็นเสมือนเข็มทิศการดำเนินการวิจัย ช่วยให้เราทราบว่าเราจะค้นหาคำตอบอะไรจากข้อคำถามบ้าง การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยก็เป็นการจำแนกประเด็นการวิจัย หรือตัวแปรออกมาให้เห็นเป็นข้อย่อยที่ชัดเจน มีความเป็นวัตถุวิสัย และสามารถดำเนินการวิจัยอย่างเป็นรูปธรรม

             http://rdi.snru.ac.th/UserFiles/File/3(1).pdfได้รวบรวมแล้วกล่าวไว้ว่า ในโครงร่างการวิจัย ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการ ให้ชัดเจน และเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ โดยบ่งชี้ถึง สิ่งที่จะทำ ทั้งของเขต และคำตอบที่คาดว่าจะได้รับ อันเป็นสิ่งซึ่งผู้วิจัยมุ่งหวัง ที่จะทำให้การวิจัยนั้น บรรลุทั้งในระยะสั้น และระยะยาว การตั้งวัตถุประสงค์ ต้องให้สมเหตุสมผล กับทรัพยากรที่เสนอขอ และเวลาที่จะใช้ โดยทั่วไป วัตถุประสงค์อาจจำแนกได้เป็น ชนิด คือ
ก. วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objective) จะกล่าวถึงสิ่งที่ คาดหวัง (implication) หรือสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนี้ เป็นการแสดงรายละเอียด เกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย ในระดับกว้าง จึงควรครอบคลุมงานวิจัยที่จะทำทั้งหมด
              ข. วัตถุประสงค์เฉพาะ (Specific Objective) จะพรรณนาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ในงานวิจัยนี้ โดยอธิบายรายละเอียดว่า จะทำอะไร โดยใคร ทำมากน้อยเพียงใด ที่ไหน เมื่อไร และเพื่ออะไร โดยการเรียงหัวข้อ ควรเรียงตามลำดับความสำคัญ ก่อน หลัง


                http://www.sara-dd.com/index.ได้รวบรวมแล้วกล่าวไว้ว่า วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objectives) คือ ข้อความที่ผู้ทำวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ กำหนดเป็นข้อ ๆ ว่าต้องการค้นหาข้อเท็จจริงใดบ้าง

สรุป :
                วัตถุประสงค์ของการวิจัย (objectives) เป็นการกำหนดว่าต้องการศึกษาในประเด็นใดบ้าง ในเรื่องที่จะทำวิจัย ต้องชัดเจน และเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ โดยบ่งชี้ถึง สิ่งที่จะทำ ทั้งขอบเขต และคำตอบที่คาดว่าจะได้รับ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว การตั้งวัตถุประสงค์ ต้องให้สมเหตุสมผล กับทรัพยากรที่เสนอขอ และเวลาที่จะใช้ จำแนกได้เป็น ชนิด คือ
        3.1    วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objective)กล่าวถึงสิ่งที่ คาดหวัง (implication) หรือสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนี้ เป็นการแสดงรายละเอียด เกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย ในระดับกว้าง จึงควรครอบคลุมงานวิจัยที่จะทำทั้งหมด
       ตัวอย่างเช่น
                  เพื่อศึกษาถึงปฏิสัมพันธ์ และความต้องการของผู้ติดเชื้อเอดส์ ครอบครัว และชุมชน
        3.2    วัตถุประสงค์เฉพาะ (Specific Objective) จะพรรณนาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ในงานวิจัยนี้ โดยอธิบายรายละเอียดว่า จะทำอะไร โดยใคร ทำมากน้อยเพียงใด ที่ไหน เมื่อไร และเพื่ออะไร โดยการเรียงหัวข้อ ควรเรียงตามลำดับความสำคัญ ก่อน หลัง ตัวอย่างเช่น
                  3.2.1    เพื่อศึกษาถึงรูปแบบปฏิสัมพันธ์และการปรับตัวของผู้ติดเชื้อเอดส์ ครอบครัว และชุมชน
                  3.2.2    เพื่อศึกษาถึงปัญหาและความต้องการของผู้ติดเชื้อเอดส์ ครอบครัว และชุมชน

อ้างอิง :
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921   เข้าถึงเมื่อ 4ธันวาคม 2555
http://www.gotoknow.org/posts/399434  เข้าถึงเมื่อ 4ธันวาคม 2555
http://www.sara-dd.com/index.     เข้าถึงเมื่อ 4ธันวาคม 2555
http://rdi.snru.ac.th/UserFiles/File/3(1).pdf เข้าถึงเมื่อ 4ธันวาคม 2555

4.คำถามของการวิจัย (Research Questions)


4.คำถามของการวิจัย (Research Questions)


                       สุวิมล ว่องวาณิช และนงลักษณ์  วิรัชชัย (2550, หน้า 149-150) ได้อธิบายความหมายไว้ว่า คำถามวิจัย(Research Questions) หมายถึง ข้อความที่เป็นประโยคคำถาม ซึ่งแสดงให้เห็นสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการค้นหาคำตอบ คำถามวิจัยและประเด็นวิจัย(Research Issues) มีความคล้ายคลึงกัน เช่น
     ผู้สนใจศึกษาประเด็นวิจัยเกี่ยวกับ “รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ” ผู้อ่านอาจคาดเดาว่าสิ่งที่ผู้วิจัยสนใจ คือ การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หรือการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่ปรากฏอยู่ทั่วไป แต่หากปรับเป็นคำถามวิจัย จะทำให้เกิดความชัดเจนในประเด็นที่ศึกษามากขึ้น เช่น
    “รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญควรมีลักษณะเช่นใด  ประกอบด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง ผลการใช้รูปแบบดังกล่าวส่งผลให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร”

          อาทิวรรณ โชติพฤกษ์ (2553, หน้า 7) กล่าวว่า การตั้งคำถามเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะคำถามวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งขึ้นบ่งบอกให้ทราบถึงประเด็นที่ผู้วิจัยต้องการทราบหรือทำความเข้าใจในเรื่องที่เลือกเป็นหัวข้อวิจัยนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้วิจัยประเมินว่าต้องทำงานวิจัยอย่างไรและในทิศทางใด จึงจะนำไปสู่คำตอบของคำถามนั้นๆ  ทั้งนี้ผู้วิจัยอาจเริ่มตั้งคำถามด้วยวลีคำถาม เช่น  อะไร  อย่างไร  ที่ไหน  เมื่อไร  กับใคร ตัวอย่างเช่น
-หัวข้อวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของอะไร และประกอบด้วยเรื่องอะไรบ้าง
-ความเป็นมาของเรื่องนี้เป็นอย่างไร
-เรื่องนี้สามารถจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในประเภทใด
-เรื่องนี้มีอะไรดี สามารถนำไปใช้อะไรได้บ้าง
     เมื่อรวบรวมคำถามที่ตั้งขึ้นมาแล้ว ควรจัดกลุ่มของคำถาม และมุ่งความสนใจไปยังคำถามที่ขึ้นต้นด้วยทำไม หรืออย่างไร และพิจารณาว่าคำถามไหนที่ผู้วิจัยสนใจและอยากรู้คำตอบที่สุด คำถามนั้นจะเป็นคำถามสำหรับงานวิจัยของผู้วิจัย

         องอาจ นัยพัฒน์ (2551, หน้า 43-44) ให้แนวทางไว้ว่า การเขียนปัญหาการวิจัย ในรูปคำถามสามารถเขียนได้ 3 ลักษณะ คือ
1. ประเด็นคำถามเชิงพรรณนา
ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัยในรูปคำถามที่ว่า
“ อะไรคือ อะไรเป็น” (What is)
การตอบประเด็นคำถามดังกล่าวนี้ แสดงเป็นนัยว่า นักวิจัยจะต้องอาศัยการวิจัยเชิงสำรวจ  เช่น
-อะไรคือพฤติกรรมแปลกแยกของนิสิต/นักศึกษาที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ?
-อะไรคือพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารโรงพยาบาลศูนย์ดีเด่นและไม่ดีเด่น? 
2. ประเด็นคำถามเชิงความสัมพันธ์
ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัย ในรูปของคำถามที่มุ่งหาคำตอบว่า
“ ตัวแปร X  มีความสัมพันธ์กับตัวแปร Y หรือไม่”  หรือ
“ ตัวแปร X  พยากรณ์ตัวแปร Y ได้หรือไม่”
การสืบหาคำตอบของคำถามทั้ง 2 ประเด็นนี้ แสดงเป็นนัยว่านักวิจัยต้องออกแบบการวิจัยเป็นประเภทการศึกษาสหสัมพันธ์(correlation  design)  เช่น
-อัตมโนทัศน์ของนักเรียนมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือไม่?
-เพศ ผลการเรียนเดิมเกรดเฉลี่ย(GPA)ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ความเอาใจใส่ต่อการศึกษาเล่าเรียน ทำนายความสำเร็จในการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีได้อย่างแม่นตรงหรือไม่?
 3. ประเด็นคำถามเชิงเปรียบเทียบ
   ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัย ในรูปของคำถามที่มุ่งเน้นการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ที่สนใจระหว่างกลุ่มควบคุมที่ที่ดำเนินตามสภาวะปกติและกลุ่มทดลองที่จัดกระทำทางการทดลองขึ้น กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ รูปแบบของคำถามประเภทนี้มุ่งหาคำตอบว่า
“มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างหรือวิธีการที่นักวิจัยดำเนินการขึ้นหรือไม่”
คำถามวิจัยประเภทนี้ต้องอาศัยแบบการวิจัยเชิงทดลอง(experimental design) หรือการศึกษาย้อนรอยเปรียบเทียบหาสาเหตุ(causal comparative design) มาใช้ในการสืบค้นหาคำตอบ เช่น
-ผู้บริหารโรงพยาบาลศูนย์ดีเด่นและไม่ดีเด่น มีพฤติกรรมการบริหารงานด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง(transformational leadership) การจัดการ การตัดสินใจ และการติดต่อสื่อสารแตกต่างกันหรือไม่?

          สรุป
          การตั้้งคำถามเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะคำถามวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งขึ้นบ่งบอกให้ทราบถึงประเด็นที่ผู้วิจัยต้องการทราบหรือทำความเข้าใจในเรื่องที่เลือกเป็นหัวข้อวิจัยนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้วิจัยประเมินว่าต้องทำงานวิจัยอย่างไรและในทิศทางใด จึงจะนำไปสู่คำตอบของคำถามนั้นๆ  ทั้งนี้ผู้วิจัยอาจเริ่มตั้งคำถามด้วยวลีคำถาม เช่น  อะไร  อย่างไร  ที่ไหน  เมื่อไร  กับใคร

อ้างอิง
                  สุวิมล  ว่องวานิช. (2550). แนวทางการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
                  องอาจ นัยพัฒน์. (2551). วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร : สามลดา.
                 อาทิวรรณ  โชติพฤกษ์.  ก้าวสู่ความเป็นนักวิจัยมืออาชีพ.  กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

3.ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literatures)


3.ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literatures)


http://netra.lpru.ac.th/~phaitoon/RESEARCH/%C7%D4%A8%D1%C2%A1%D2%C3%C8%D6%A1%C9%D2/doc.htm  ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า วรรณกรรมหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง  (related literature) หมายถึง  เอกสารงานเขียนที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับหัวข้อปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจ  วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอาจมีหลายลักษณะ เช่น เป็นตำรา สารานุกรม พจนานุกรม นามานุกรม ดัชนี รายงานสถิติ หนังสือรายปี บทความในวารสาร จุลสาร  ที่สำคัญก็คือรายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น  ผู้วิจัยจะต้องทำการสำรวจอ่านทบทวนอย่างพินิจพิเคราะห์  ทักษะที่สำคัญของการทำวิจัยในขั้นตอนนี้คือ ทักษะในการสืบค้นหาสารนิเทศจากแหล่งต่าง ๆ และทักษะในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ

ความสำคัญของการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง

1.     ช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงสถาพขององค์ความรู้ (state of the art) ในเรื่องที่จะทำการวิจัย  คือจะได้ทราบว่าในหัวข้อเรื่องที่ผู้วิจัยสนใจหรือมีข้อสงสัยใคร่หาคำตอบนั้น ได้มีผู้ศึกษาหาคำตอบได้เป็นความรู้ไว้แล้วในแง่มุมหรือประเด็นใดแล้วบ้าง  การจะศึกษาวิจัยเพื่อหาคำตอบในเรื่องนั้นต่อไปควรจะได้ทราบเสียก่อนว่าเรารู้อะไรกันแล้วบ้างเกี่ยวกับเรื่องนั้น ความรู้เหล่านั้นมีความชัดเจนเพียงใด  ยังมีข้อความรู้ที่ขัดแย้งไม่ลงรอยกันบ้างหรือไม่  ประเด็นใดที่ยังไม่มีคำตอบบ้าง  การทราบถึงสถานภาพขององค์ความรู้ในเรื่องที่จะทำวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความรู้ใหม่ที่จะได้จากการวิจัยของตนเองนั้นจะมีความสัมพันธ์อย่างไรกับองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้น จะเป็นความรู้ใหม่ที่มีคุณค่าหรือความสำคัญเพียงใด และจะเข้าไปจัดระเบียบอยู่ในองค์ความรู้ในเรื่องนั้นๆ อย่างผสมกลมกลืนได้อย่างไร
2.     ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถหลีกเลี่ยงการทำวิจัยซ้ำซ้อนกับผู้อื่น  การวิจัยเป็นเรื่องของการแสวงหาความรู้ใหม่  นักวิจัยไม่นิยมแสงหาความรู้เพื่อที่จะตอบปัญหาเดิมโดยไม่จำเป็น เพราะจะเป็นการเสียเวลา สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ  สิ่งใดที่รู้แล้วมีผู้หาคำตอบไว้แล้ว นักวิจัยจะไม่ทำวิจัยเพื่อหาคำตอบในเรื่องนั้นซ้ำอีก  ดังนั้นนักวิจัยจึงพยายามหลีกเลี่ยงการทำวิจัยซ้ำกับที่ผู้อื่นได้ทำไว้แล้วซึ่งถือเป็นจรรยาบรรณอย่างหนึ่งของนักวิจัย และทำให้การวิจัยนั้นด้อยคุณค่าลง  การทบทวนเอกสารวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างถี่ถ้วนและรอบคอบจะทำให้นักวิจัยได้ทราบว่าประเด็นที่ตนเองสนใจจะทำวิจัยนั้นได้มีผู้หาคำตอบไว้แล้วหรือยัง  ถ้ามีแล้วก็จะได้เลี่ยงไปศึกษาในประเด็นอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้มีผู้ศึกษาเอาไว้ต่อไป
3.     ช่วยให้ผู้วิจัยได้มีแนวคิดพื้นฐานเชิงทฤษฎีในเรื่องที่จะทำการวิจัยอย่างเพียงพอ การจะทำวิจัยในเรื่องใดนั้นผู้วิจัยจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่พอสมควร โดยเฉพาะกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theriticalหรือ Conceptual framwork) เกี่ยวกับเรื่องนั้นจะต้องชัดเจน  สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยได้อย่างชัดเจน  สามารถกำหนดแนวทางในการศึกษาได้อย่างเหมาะสม เข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องที่วิจัยได้อย่างแจ่มแจ้ง
4.     ช่วยให้ผู้วิจัยได้เห็นแนวทางในการดำเนินงานวิจัยของตน  จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่เพียงแต่ทำให้นักวิจัยได้ทราบว่าเรื่องที่สนใจนั้นได้มีผู้วิจัยอื่นได้ค้นคว้าหาคำตอบไว้อย่างไรแล้วเท่านั้น ยังจะได้ทราบด้วยว่านักวิจัยคนอื่น ๆ เหล่านั้นได้มีวิธีการหาคำตอบเอาไว้อย่างไร  มีปัญหาอุปสรรคอย่างไรในการทำวิจัยในเรื่องนั้น  คำตอบที่ได้มามีความชัดเจนแจ่มแจ้งเพียงใด  คำตอบสอดคล้องหรือขัดแยังกันหรือไม่  เอกสารเชิงทฤษฎีต่าง ๆ ได้ชี้แนะแนวทางในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างไร  สารสนเทศเหล่านี้นักวิจัยจะนำมาใช้ตัดสินใจกำหนดแนวทางในการวิจัยของตนเริ่มตั้งแต่ การกำหนดประเด็นปัญหาที่เหมาะสม การกำหนดขอบเขตและข้อสันนิษฐานการวิจัยอย่างสมเหตุสมผล ออกแบบวิจัยเพื่อดำเนินการหาคำตอบซึ่งจะเกี่ยวกับการเลือกระเบียบวิธีวิจัย การเลือกตัวอย่าง การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์หรือประมวลผลข้อมูล ตลอดจนการสรุปและรายงานผลการวิจัย   นักวิจัยจะวางแผนการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาอุปสรรคที่จะทำให้งานวิจัยนั้นล้มเหลวได้  ช่วยให้โอกาสที่จะทำงานมีวิจัยนั้นให้สำเร็จอย่างมีคุณภาพมีสูงขึ้น
5.     ช่วยให้ผู้วิจัยได้มีหลักฐานอ้างอิงเพื่อสนับสนุนในการอภิปรายผลการวิจัย  เมื่อผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยจนได้ข้อสรุปหรือคำตอบให้กับปัญหาแล้ว  ในการรายงานผลการวิจัยผู้วิจัยจะต้องแสดงความคิดเห็นเขิงวิพากษ์วิจารณ์ผลการวิจัย  การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบถี่ถ้วนจะช่วยให้ผู้วิจัยมีข้อมูลอ้างอิงประกอบการแสดงความเห็นได้อย่างสมเหตุสมผลและมีความหนักแน่นน่าเชื่อถือ
6.     ช่วยสร้างคุณภาพและมาตรฐานเชิงวิชาการให้แก่งานวิจัยนั้น  การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยนั้นจะต้องประมวลมาเป็นรายงานสรุปใส่ไว้ในรายงานการวิจัย หรือเค้าโครงร่างของการวิจัย(Research proposal)ด้วย  การไปทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้องมาอย่างกว้างขวางครอบคลุมในเรื่องที่ศึกษาและนำมาเรียบเรียงเอาไว้อย่างดี จะทำให้รายงานหรือโครงร่างการวิจัยนั้นมีคุณภาพและได้มาตรฐาน  เป็นการแสดงถึงศักยภาพของนักวิจัยได้ทางหนึ่งว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะทำวิจัยในเรื่องนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ  ในการพิจารณาโครงร่างการวิจัยส่วนหนึ่งที่กรรมการมักจะพิจารณาเป็นพิเศษก็คือ รายงานการประมวลเอกสารที่เกี่ยวข้องนี่เอง
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921)%20%20%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89
 อาจเรียกว่า การทบทวนวรรณกรรม ส่วนนี้เป็นการเขียนถึงสิ่งที่ผู้วิจัยได้มาจากการศึกษาค้นคว้าเอกสารต่างๆ ทั้งทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ ทฤษฎี หลักการ ข้อเท็จจริงต่างๆ แนวความคิดของผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของผู้วิจัย รวมทั้งมองเห็นแนวทางในการดำเนินการศึกษาร่วมไปกับผู้วิจัยด้วย โดยจัดลำดับหัวข้อหรือเนื้อเรื่องที่เขียนตามตัวแปรที่ศึกษา และในแต่ละหัวข้อเนื้อเรื่องก็จัดเรียงตามลำดับเวลาด้วย เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นพัฒนาการต่างๆ ที่เกี่ยวกับปัญหา นอกจากนี้ผู้วิจัยควรจะต้องมีการสรุปไว้ด้วย เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นความสัมพันธ์ทั้งส่วนที่สอดคล้องกัน ขัดแย้งกัน และส่วนที่ยังไม่ได้ศึกษาทั้งในแง่ประเด็น เวลา สถานที่ วิธีการศึกษาฯลฯ การเขียนส่วนนี้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อการตั้งสมมติฐานด้วย
        หลังจากที่ผู้วิจัยได้เขียนเรียบเรียงการทบทวนวรรณกรรมแล้ว ควรมีการประเมินงานเขียนเรียบเรียงนั้นอีกครั้งหนึ่ง ว่ามีความสมบูรณ์ทั้งเนื้อหา ภาษา และความต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน สำหรับการประเมินการเขียนเรียบเรียงการทบทวนวรรณกรรม Polit & Hungler (1983, อ้างใน ธวัชชัย วรพงศธร, 2538 ) ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญไว้ โดยการให้ตอบคำถามต่อไปนี้
        1    รายงานนั้นได้มีการเชื่อมโยงปัญหาที่ศึกษากับปัญหาวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งศึกษามาก่อนแล้ว
                  หรือไม่
                  1.1    รายงานนั้นได้เรียบเรียงจากแหล่งเอกสารทุติยภูมิมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งตามความ
                  เป็นจริงแล้วควรใช้แหล่งเอกสารปฐมภูมิ (ต้นฉบับ) ให้มากที่สุด
                  1.2    รายงานได้ครอบคลุมเอกสาร ที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ศึกษาครบหมดหรือไม่
                  1.3    รายงานได้ครอบคลุมเอกสารใหม่ๆหรือไม่
                  1.4    รายงานได้เน้นในเรื่องความคิดเห็น หรือการบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับพฤติกรรม
                                มากเกินไป และมีการเน้นผลการวิจัยด้านปฏิบัติจริงๆ น้อยไปหรือไม่
                  1.5    รายงานได้เรียบเรียงข้อความอย่างต่อเนื่องสมบูรณ์หรือไม่ หรือเป็นเพียงแต่ลอก
                                ข้อความจากเอกสารต้นฉบับมาเรียงต่อกันเท่านั้น
                  1.6    รายงานนั้นเป็นแต่เพียงสรุปผลการศึกษาที่ทำมาแล้วเท่านั้น หรือเป็นการเขียนใน
                                เชิงวิเคราะห์วิจารณ์ และเปรียบเทียบกับผลงานเด่นๆ ที่ศึกษามาแล้วหรือไม่
                  1.7    รายงานได้เรียบเรียงในลักษณะที่เชื่อมโยง และชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าในความ
                                คิดอย่างชัดเจนมากน้อยแค่ไหน
                  1.8    รายงานได้นำผลสรุปของงานวิจัยและข้อเสนอแนะของการนำผลการวิจัยไปใช้
                                ทั้งหมด มาเชื่อมโยงกับปัญหาที่จะศึกษามากน้อยแค่ไหน
        2    รายงานนั้นได้มีการเชื่อมโยงปัญหาที่ศึกษากับกรอบทฤษฎี หรือ กรอบแนวคิดหรือไม่
                  2.1    รายงานได้เชื่อมโยงกรอบทฤษฎีกับปัญหาที่ศึกษาอย่างเป็นธรรมชาติหรือไม่
                  2.2    รายงานได้เปิดช่องโหว่ให้เห็นถึงกรอบแนวคิดอื่นที่เหมาะสมกว่าหรือไม่
                  2.3    รายงานได้เชื่อมโยงอนุมานจากทฤษฎี หรือกรอบแนวคิดอย่างมีเหตุมีผลหรือไม่
    ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  ทบทวนเอกสารและงานวิจัย (วรรณกรรม) ที่เกี่ยวข้องการทบทวนวรรณกรรม หมายถึง การศึกษาค้นคว้าเอกสารหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้วิจัยกำลังจะทำการศึกษา เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี แนวคิด อันเชื่อมโยงมาสู่การกำหนดกรอบแนวคิดและตัวแปรที่เกี่ยวข้องซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ
จุดมุ่งหมายของการทบทวนวรรณกรรม
1.การอ้างอิงเชิงทฤษฎี (Theoretical Reference)
2.การอ้างอิงเชิงประจักษ์ (Empirical Reference)
จุดมุ่งหมายของการทบทวน
เพื่อให้ทราบว่ามีผู้ใดเคยศึกษาหรือวิจัย มาก่อน
เพื่อให้ทราบถึงวิธีการศึกษาของผู้วิจัยอื่นๆ
เพื่อให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรคที่เคยพบของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ประโยชน์ที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรม
- เป็นการกำหนดขอบเขตของการวิจัยให้เหมาะสม จะได้ไม่กว้างหรือแคบเกินไป
- เสนอแนวคิด หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง
- ช่วยให้มีความรู้ในเรื่องที่วิจัยมากขึ้น
- ป้องกันการวิจัยที่ซ้ำซ้อนกับเรื่องที่มีผู้ทำมาก่อนแล้ว
แหล่งของวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
1.หนังสือทั่วไป (General Books)
2.หนังสืออ้างอิง (Reference Book)
-สารานุกรม (Encyclopedia)
-พจนานุกรม (Dictionary)
-หนังสือรายปี (Yearbooks)
-บรรณานุกรม (Bibliographies)
-ดัชนีวารสาร (Periodical Indexes)
-นามานุกรม (Directories)
-วิทยานิพนธ์ (Thesis)
-วารสาร (Journals)
-รายงานการวิจัย (Research Report)
-เอกสารทางราชการ
-ไมโครฟิล์ม
-หนังสือพิมพ์ (Newspaper)
ขั้นตอนในการทบทวนวรรณกรรม
-กำหนดขอบเขตของการทบทวนวรรณกรรม
-ค้นหาเอกสารหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
-การเลือกเอกสารและรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
-การอ่านเอกสาร
-บันทึกข้อมูล
-การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
หลักการเขียนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบการอ้างอิง
อ้างอิงเชิงอรรถ (Footnote Style ) ท้ายหน้าที่อ้างอิง โดยมีชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ หรือ บทความ ปีที่พิมพ์และหมายเลขหน้า
อ้างอิงระบบ นาม – ปี (Author – Date Style) มีเฉพาะชื่อนามสกุล ปีที่พิมพ์ และหมายเลขหน้า โดยวงเล็บไว้หลังข้อความที่อ้างอิง
 http://jmk.chandra.ac.th/index.php?Subj=topic4  ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า
การทบทวนวรรณกรรมเป็นส่วนซึ่งเชื่อมโยงจาก หัวข้อ หลักการและเหตุผล ในแบบเสนอโครงการ นั่นหมายถึง การจะทำโครงการวิจัยนี้ (ซึ่งก็คือ โปรแกรม, ระบบ, เครื่องมือ, ฯลฯ) จะต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องใดบ้าง โดยอธิบายถึงความรู้นั้นๆ ถึงลักษณะสำคัญ และเชื่อมโยงให้ได้ว่ามีความจำเป็นต่อหัวข้อวิจัยอย่างไร อาจแบ่งเนื้อหาความรู้ที่ควรต้องมีเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้
  1. ประเด็นที่ต้องการพัฒนา หรือ แก้ไขปัญหา 
  2. เครื่องมือ หรือ วิธีการที่ใช้ในการวิจัย
  3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (งานวิจัยของผู้อื่นที่มีการศึกษาในลักษณะเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน)

            สรุป
            การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง  หมายถึง  การศึกษาค้นคว้าเอกสารหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้วิจัยกำลังจะทำการศึกษา เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี แนวคิด อันเชื่อมโยงมาสู่การกำหนดกรอบแนวคิดและตัวแปรที่เกี่ยวข้องซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ
แหล่งของวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
1.หนังสือทั่วไป (General Books)
2.หนังสืออ้างอิง (Reference Book)
-สารานุกรม (Encyclopedia)
-พจนานุกรม (Dictionary)
-หนังสือรายปี (Yearbooks)
-บรรณานุกรม (Bibliographies)
-ดัชนีวารสาร (Periodical Indexes)
-นามานุกรม (Directories)
-วิทยานิพนธ์ (Thesis)
-วารสาร (Journals)
-รายงานการวิจัย (Research Report)
-เอกสารทางราชการ
-ไมโครฟิล์ม
-หนังสือพิมพ์ (Newspaper)
ขั้นตอนในการทบทวนวรรณกรรม
-กำหนดขอบเขตของการทบทวนวรรณกรรม
-ค้นหาเอกสารหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
-การเลือกเอกสารและรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
-การอ่านเอกสาร
-บันทึกข้อมูล
-การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น


อ้างอิง
http://netra.lpru.ac.th/~phaitoon/RESEARCH/%C7%D4%A8%D1%C2%A1%
 D2%C3%C8%D6%A1%C9%D2/doc.htm
  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555
               http://blog.eduzones.com/jipatar/85921)%20%20%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%B5   เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555
http://jmk.chandra.ac.th/index.php?Subj=topic4  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

2.ความสำคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย (Background and Rationale)


2.ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย (background and rationale)



ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย (background and rationale)
http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm กล่าวไว้ว่า  ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้วิจัย ต้องสามารถแสดงให้เห็นว่า มีความรู้พื้นฐาน และเข้าใจ ในปัญหาที่กำลังจะศึกษา อย่างถ่องแท้ ชัดเจน ทั้งทางทฤษฏี และปฏิบัติ ตลอดจนสามารถ เชื่อมโยงเข้าสู่กรอบความคิด ของการวิจัยนี้ได้ สามารถระบุถึง ความสำคัญของปัญหา รวมทั้งความจำเป็น คุณค่า และประโยชน์ ที่จะได้จากผลการวิจัย ในเรื่องนี้ อย่างมีเหตุมีผล ระบุได้ว่า มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้ จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่องานด้านนี้ ได้อย่างไร

               http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 กล่าวไว้ว่า ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา อาจเรียกต่างๆกัน เช่น หลักการและเหตุผล ภูมิหลังของปัญหา ความจำเป็นที่จะทำการวิจัย หรือ ความสำคัญของโครงการวิจัย ฯลฯ ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ต้องระบุว่าปัญหาการวิจัยคืออะไร มีความเป็นมาหรือภูมิหลังอย่างไร มีความสำคัญ รวมทั้งความจำเป็น คุณค่าและประโยชน์ ที่จะได้จากผลการวิจัยในเรื่องนี้ โดยผู้วิจัยควรเริ่มจากการเขียนปูพื้นโดยมองปัญหาและวิเคราะห์ปัญหาอย่างกว้างๆ ก่อนว่าสภาพทั่วๆไปของปัญหาเป็นอย่างไร และภายในสภาพที่กล่าวถึง  มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง ประเด็นปัญหาที่ผู้วิจัยหยิบยกมาศึกษาคืออะไร ระบุว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่องานด้านนี้ ได้อย่างไร

               http://tourismlogistics.com/index.php?option=com_content&view=article&id=483:research-tips-37&catid=73:research-secrets&Itemid=89 กล่าวว่า หัวใจของการเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหา มีดังนี้
1.   ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเรื่องที่เราจะทำวิจัยมีความสำคัญจริง โดยประเมินจากมูลค่าทางเศรษฐกิจของสิ่งที่ทำ  จำนวนผู้คนที่จะได้รับประโยชน์จากผลการวิจัย  ผลประโยชน์จะตกไปถึงผู้ที่ด้อยกว่าทางสังคม
 2. ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าแรงจูงใจในการทำวิจัยเรื่องนี้คืออะไร โดยประเมินจากการเป็นช่องว่างทางวิชาการที่ยังไม่มีคำตอบ ยังไม่มีการศึกษาในเรื่องนี้และต้องการได้คำตอบ  (เนื่องจากมีความสำคัญ ตามข้อ 1.
                3. หากทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเราคือคนที่ใช่ สำหรับการทำวิจัยเรื่องนี้ ยิ่งจะดีมาก โดยประเมินจากความเชี่ยวชาญ  ผลงานที่ผ่านมา  ความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ความได้เปรียบเรื่องข้อมูล
              อะไรที่เขียนแล้วยืดเยื้อและไม่สามารถ นำไปสู่เป้าหมายสามอย่างนี้   ไม่ควรเขียนไว้ในส่วนของที่มาและความสำคัญของปัญหา เพราะจะทำให้ผู้อ่านไขว้ เขวทั้งในประเด็นปัญหา และความเป็นมืออาชีพของผู้วิจัย

สรุป :
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้วิจัย ต้องสามารถแสดงให้เห็นว่า มีความรู้พื้นฐาน และเข้าใจ ในปัญหาที่กำลังจะศึกษา อย่างถ่องแท้ ชัดเจน ทั้งทางทฤษฏี และปฏิบัติ ตลอดจนสามารถ เชื่อมโยงเข้าสู่กรอบความคิด ของการวิจัยนี้ได้ สามารถระบุถึง ความสำคัญของปัญหา รวมทั้งความจำเป็น คุณค่า และประโยชน์ ที่จะได้จากผลการวิจัย ในเรื่องนี้ อย่างมีเหตุมีผล ระบุได้ว่า มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้ จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่องานด้านนี้ ได้อย่างไร
หัวใจของการเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหา มีดังนี้
1.   ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเรื่องที่เราจะทำวิจัยมีความสำคัญจริง โดยประเมินจากมูลค่าทางเศรษฐกิจของสิ่งที่ทำ  จำนวนผู้คนที่จะได้รับประโยชน์จากผลการวิจัย  ผลประโยชน์จะตกไปถึงผู้ที่ด้อยกว่าทางสังคม
 2. ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าแรงจูงใจในการทำวิจัยเรื่องนี้คืออะไร โดยประเมินจากการเป็นช่องว่างทางวิชาการที่ยังไม่มีคำตอบ ยังไม่มีการศึกษาในเรื่องนี้และต้องการได้คำตอบ  (เนื่องจากมีความสำคัญ ตามข้อ 1.)
                3. หากทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเราคือคนที่ใช่ สำหรับการทำวิจัยเรื่องนี้ ยิ่งจะดีมาก โดยประเมินจากความเชี่ยวชาญ  ผลงานที่ผ่านมา  ความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ความได้เปรียบเรื่องข้อมูล
              อะไรที่เขียนแล้วยืดเยื้อและไม่สามารถ นำไปสู่เป้าหมายสามอย่างนี้   ไม่ควรเขียนไว้ในส่วนของที่มาและความสำคัญของปัญหา เพราะจะทำให้ผู้อ่านไขว้ เขวทั้งในประเด็นปัญหา และความเป็นมืออาชีพของผู้วิจัย

อ้างอิง :
http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm    สืบค้นเมื่อ ธันวาคม 2555
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921      สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2555

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โครงร่างการวิจัย ควรมีส่วนประกอบสำคัญ 22 ประการ

1. ชื่อเรื่อง (The Title)





        http://www.watpon.com/Elearning/res19.htm  ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  ชื่อเรื่องวิจัยนับเป็นจุดแรกที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน และทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในปัญหารวมทั้งวิธีกาดำเนินการวิจัยของผู้วิจัยอีกด้วย ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องวิจัยจึงต้องเขียนให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่เขียนอย่างคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงต้องระมัดระวังในการตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้เหมาะสม ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
1. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้สั้น โดยใช้คำที่เฉพาะเจาะจง หรือสื่อความหมายเฉพาะเรื่อง และควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย กะทัดรัด แต่ชื่อเรื่องก็ไม่ควรจะสั้นเกินไปจนทำให้ขาดความหมายทางวิชาการ
2. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้ตรงกับประเด็นของปัญหา เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วจะได้ทราบว่าเป็นการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาอะไรได้ทันที อย่างตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ทำให้ผู้อ่านตีความได้หลายทิศทาง และอย่าพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเกินความเป็นจริง
3. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยโดยการใช้คำที่บ่งบอกให้ทราบถึงประเภทของการวิจัย ซึ่งจะทำให้ชื่อเรื่องชัดเจน และเข้าใจง่ายขึ้น เช่น
        3.1 การวิจัยเชิงสำรวจ มักใช้คำว่า การสำรวจ หรือการศึกษาในชื่อเรื่องวิจัยหรืออาจระบุตัวแปรเลยก็ได้ เช่น การศึกษาการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการสำรวจการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการใช้สารเคมีของชาวอีสาน เป็นต้น
        3.2 การวิจัยเชิงศึกษาเปรียบเทียบ การตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะนี้ มักจะใช้คำว่า การศึกษา เปรียบเทียบ หรือการเปรียบเทียบ นำหน้า เช่น การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนในเขตและนอกเขตเทศบาล ของจังหวัดมหาสารคาม
        3.3 การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ การวิจัยประเภทนี้จะใช้คำว่า การศึกษาความสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งกับพ่อแม่และการปรับตัวของวัยรุ่น เป็นต้น
        3.4 การวิจัยเชิงการศึกษาพัฒนาการ การวิจัยประเภทนี้มักใช้คำว่า การศึกษาพัฒนาการหรือพัฒนาการ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น การศึกษาพัฒนาการด้านการเขียนของเด็กก่อนวัยเรียนในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม
        3.5 การวิจัยเชิงทดลอง การตั้งชื่อเรื่องวิจัยประเภทนี้อาจตั้งชื่อได้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการทดลอง เช่น อาจใช้คำว่า การทดลอง การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การศึกษา การเปรียบเทียบ ฯลฯ นำหน้า หรือาจจะไม่ใช้คำเหล่านี้นำหน้าก็ได้ เช่น การทดลองเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในจังหวัดอ่างทอง การวิเคราะห์หาปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นในปลายรากข้าวโพดหลังจากแช่ในสารละลายน้ำตาลชนิดต่าง ๆ การสังเคราะห์กรดไขมันจากอะเซติลโคเอ การศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ในยางมะละกอ การเปรียบเทียบการสอนอ่านโดยวิธีใช้ไม่ใช้การฟังประกอบ การสกัดสารอินดิเคเตอร์จากดอกอัญชัน ฯลฯ
4. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะของคำนาม ซึ่งจะทำให้เกิดความไพเราะ สละสลวยกว่าการใช้คำกริยานำหน้าชื่อเรื่อง เช่น แทนที่จะใช้คำว่า ศึกษา เปรียบเทียบ สำรวจ ก็ควรใช้คำที่มีลักษณะเป็นคำนามนำหน้า เช่น การศึกษา การเปรียบเทียบ การสำรวจ ฯลฯ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ไม่ดี : ศึกษาวงจรชีวิตของเห็บสุนัข
ดีขึ้น : การศึกษาวงจรชีวิตของเห็บสุนัข
ไม่ดี : เปรียบเทียบความเกรงใจระหว่างนักเรียนชายกับนักเรียนหญิงของโรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองเลย
ดีขึ้น : การเปรียบเทียบความเกรงใจระหว่างนักเรียนชายกับนักเรียนหญิงของโรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองเลย
5. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ประกอบด้วยข้อความเรียงที่สละสลวยได้ใจความสมบูรณ์ คือเป็นชื่อเรื่องที่ระบุให้ทราบตั้งแต่จุดมุ่งหมายของการวิจัย ตัวแปร และกลุ่มตัวอย่างที่จะศึกษาวิจัยด้วย เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการสอบคัดเลือกกับเกรดเฉลี่ยสะสมและเจตคติต่อวิชาชีพครูของนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2544
อนึ่ง นักวิจัยบางท่านก็นิยมเขียนชื่อเรื่องวิจัยสั้น ๆ โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดลงไป เช่น บุคลิกภาพของนักศึกษาครู เป็นต้น 


http://blog.eduzones.com/jipatar/85921)%20%20%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89   ชื่อเรื่อง (the title)
      ชื่อเรื่องควรมีความหมายสั้น กะทัดรัดและชัดเจน เพื่อระบุถึงเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัย ว่าทำอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด หรือต้องการผลอะไร ยกตัวอย่างเช่น “ประสิทธิผลของการใช้วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันกับทหารในศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ 2547” ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ชื่อที่ยาวมากๆ อาจแบ่งชื่อเรื่องออกเป็น 2 ตอน โดยให้ชื่อในตอนแรกมีน้ำหนักความสำคัญมากกว่า และตอนที่สองเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนขยาย เช่น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคของนักเรียนชาย : การเปรียบเทียบระหว่างนักเรียนอาชีวศึกษากับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในกรุงเทพมหานคร 2547”
        นอกจากนี้ ควรคำนึงด้วยว่าชื่อเรื่องกับเนื้อหาของเรื่องที่ต้องการศึกษาควรมีความสอดคล้องกันการเลือกเรื่องในการทำวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ หลายประเด็น โดยเฉพาะประโยชน์ที่จะได้รับจากผลของการวิจัย ในการเลือกหัวเรื่องของการวิจัย มีข้อควรพิจารณา 4 หัวข้อ คือ
        1.1    ความสนใจของผู้วิจัย
                  ควรเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจมากที่สุด และควรเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป
        1.2    ความสำคัญของเรื่องที่จะทำวิจัย
                  ควรเลือกเรื่องที่มีความสำคัญ และนำไปใช้ปฏิบัติหรือสร้างแนวความคิดใหม่ๆ ได้
                  โดยเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านเวชศาสตร์ครอบครัวหรือเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพ
        1.3    เป็นเรื่องที่สามารถทำวิจัยได้
                  เรื่องที่เลือกต้องอยู่ในวิสัยที่จะทำวิจัยได้ โดยไม่มีผลกระทบอันเนื่องจากปัญหาต่างๆ เช่น
                  ด้านจริยธรรม ด้านงบประมาณ ด้านตัวแปรและการเก็บข้อมูล ด้านระยะเวลาและการ
                  บริหาร ด้านการเมือง หรือเกินความสามารถของผู้วิจัย
        1.4    ไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่ทำมาแล้ว
                  ซึ่งอาจมีความซ้ำซ้อนในประเด็นต่างๆ ที่ต้องพิจารณาเพื่อหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชื่อเรื่องและ
                  ปัญหาของการวิจัย (พบมากที่สุด) สถานที่ที่ทำการวิจัย ระยะเวลาที่ทำการวิจัย วิธีการ หรือ
                  ระเบียบวิธีของการวิจัย
   ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า 
การกำหนดชื่อเรื่องการวิจัย ควรจะกำหนดให้เป็นที่น่าสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ควรจะอ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือและชัดเจนในปัญหาที่จะทำการวิจัย โดยทั่ว ๆ ไป   มักนิยมตั้งชื่อปัญหาการวิจัยกันดังนี้
          1. ควรตั้งชื่อเรื่องให้สั้น ใช้คำเฉพาะเจาะจง หรือสื่อความหมายเฉพาะเรื่อง หรือตัวแปรที่ จะศึกษาเท่านั้น
          2. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้ตรงกับประเด็นของปัญหา อ่านแล้วสื่อความหมายทิศทางเดียว ไม่ควรใช้คำสื่อความหมายได้หลายทิศทางวกไปเวียนมาและไม่สู่ประเด็นของปัญหา
          3. ควรตั้งเป็นข้อความเชิงบอกเล่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าตั้งเป็นเชิงคำถามหรือข้อความเชิง ปฏิเสธ
          4. หัวข้อปัญหาที่ดีจะต้องแสดงถึงมโนภาพของตัวแปร หรือความสัมพันธ์ของตัวแปร ของปัญหานั้น ๆ
          5. การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาจะต้องระมัดระวังไม่ให้ซ้ำซ้อนกับผู้อื่น แม้ว่าประเด็นศึกษาจะ คล้ายกันก็ตาม
          6. หัวข้อปัญหามีความหมายชัดเจนในตัวของมันเอง สามารถสื่อให้ผู้อ่านทราบประเด็น สำคัญว่า ศึกษาเรื่องอะไร และจะศึกษากับใคร
ตัวอย่าง : ชื่อหัวข้อปัญหาการวิจัยที่ดี
          1. การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการระบบการศึกษาของสถาบันการศึกษาระดับอุดม ศึกษา
          2. พัฒนาการระบบอุดมศึกษาของไทย
          3. รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนริมแม่น้ำโขง เขตจังหวัดเชียงราย
          4. การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาระเบียบวิธีวิจัยระหว่างนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์กับนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
          5. การศึกษาเปรียบเทียบผลการสอนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับประถมศึกษาปี ที่ 3 เรื่อง สมการ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับการเรียนแบบปกติ


       http://www.drpracha.com/index.php?topic=1119.0   ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  หลักการตั้งชื่อการวิจัย มีดังนี้
1. พยายามกำหนดชื่องานวิจัยให้ง่าย สั้น กระชับและชัดเจน
2. ควรกำหนดขอบเขตของประชากรให้อยู่ในชื่อเรื่อง
3. ชื่อเรื่องต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย
4. พยายามให้ชื่องานวิจัยควรมีคำศัพท์(Wording)ที่เป็นคำทางวิชาการที่สามารถสืบค้นได้ง่าย หากมี Key Search (TAGS) จะทำให้งานวิจัยง่ายต่อการสืบค้นของคนอื่นๆ 
   


      สรุป
      การตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้เหมาะสม มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
1. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้สั้น โดยใช้คำที่เฉพาะเจาะจง หรือสื่อความหมายเฉพาะเรื่อง และควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย กะทัดรัด แต่ชื่อเรื่องก็ไม่ควรจะสั้นเกินไปจนทำให้ขาดความหมายทางวิชาการ      
2. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้ตรงกับประเด็นของปัญหา เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วจะได้ทราบว่าเป็นการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาอะไรได้ทันที อย่างตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ทำให้ผู้อ่านตีความได้หลายทิศทาง และอย่าพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเกินความเป็นจริง                                                                      
3. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยโดยการใช้คำที่บ่งบอกให้ทราบถึงประเภทของการวิจัย ซึ่งจะทำให้ชื่อเรื่องชัดเจน และเข้าใจง่ายขึ้น เช่น
      3.1 การวิจัยเชิงสำรวจ มักใช้คำว่า การสำรวจ หรือการศึกษาในชื่อเรื่องวิจัยหรืออาจระบุตัวแปรเลยก็ได้ เช่น การศึกษาการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการสำรวจการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการใช้สารเคมีของชาวอีสาน เป็นต้น
      3.2 การวิจัยเชิงศึกษาเปรียบเทียบ การตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะนี้ มักจะใช้คำว่า การศึกษา เปรียบเทียบ หรือการเปรียบเทียบ นำหน้า เช่น การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนในเขตและนอกเขตเทศบาล ของจังหวัดมหาสารคาม
      3.3 การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ การวิจัยประเภทนี้จะใช้คำว่า การศึกษาความสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งกับพ่อแม่และการปรับตัวของวัยรุ่น เป็นต้น
      3.4 การวิจัยเชิงการศึกษาพัฒนาการ การวิจัยประเภทนี้มักใช้คำว่า การศึกษาพัฒนาการหรือพัฒนาการ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น การศึกษาพัฒนาการด้านการเขียนของเด็กก่อนวัยเรียนในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม
      3.5 การวิจัยเชิงทดลอง การตั้งชื่อเรื่องวิจัยประเภทนี้อาจตั้งชื่อได้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการทดลอง เช่น อาจใช้คำว่า การทดลอง การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การศึกษา การเปรียบเทียบ ฯลฯ นำหน้า หรือาจจะไม่ใช้คำเหล่านี้นำหน้าก็ได้ เช่น การทดลองเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในจังหวัดอ่างทอง การวิเคราะห์หาปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นในปลายรากข้าวโพดหลังจากแช่ในสารละลายน้ำตาลชนิดต่าง ๆ การสังเคราะห์กรดไขมันจากอะเซติลโคเอ การศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ในยางมะละกอ การเปรียบเทียบการสอนอ่านโดยวิธีใช้ไม่ใช้การฟังประกอบ การสกัดสารอินดิเคเตอร์จากดอกอัญชัน ฯลฯ
4. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะของคำนาม ซึ่งจะทำให้เกิดความไพเราะ สละสลวยกว่าการใช้คำกริยานำหน้าชื่อเรื่อง
5. การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาจะต้องระมัดระวังไม่ให้ซ้ำซ้อนกับผู้อื่น แม้ว่าประเด็นศึกษาจะ คล้ายกันก็ตาม
6. หัวข้อปัญหามีความหมายชัดเจนในตัวของมันเอง สามารถสื่อให้ผู้อ่านทราบประเด็น สำคัญว่า ศึกษาเรื่องอะไร และจะศึกษากับใคร
7. ควรตั้งเป็นข้อความเชิงบอกเล่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าตั้งเป็นเชิงคำถามหรือข้อความเชิง ปฏิเสธ
8. หัวข้อปัญหาที่ดีจะต้องแสดงถึงมโนภาพของตัวแปร หรือความสัมพันธ์ของตัวแปรของปัญหานั้น ๆ
9. ชือเรื่องต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย
10. พยายามให้ชื่องานวิจัย ควรมีคำศัพท์ (Wording) ที่เป็นคำทางวิชาการที่สามารถสืบค้นได้ง่าย หากมี Key Search (TAGS) จะทำให้งานวิจัยง่ายต่อการสืบค้นของคนอื่นๆ 



อ้างอิง
http://www.watpon.com/Elearning/res19.htm   เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม  2555
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921)%20%20%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89l  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่1 ธันวาคม  2555
http://www.drpracha.com/index.php?topic=1119.0  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่1 ธันวาคม  2555